ภาษาและนวัตกรรม
นวัตกรรม
คำว่านวัตกรรมมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “Innovation”
โดยมีรูปศัพท์เดิมมาจากภาษาบาลี คือ นว +อตต+กรรม ทั้งนี้ คำว่า นว แปลว่า ใหม่ อัตต แปลว่า
ตัวเอง และกรรมแปลว่าการกระทำ เมื่อรวมเป็นคำว่านวัตกรรม ตามรากศัพท์หมายถึง
การกระทำที่ใหม่ของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับคำนิยามของ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (2549) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมไว้ว่า นวัตกรรมคือ“ สิ่งใหม่ที่เกิดจากการใช้ความรู้
และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม”
ดังนั้นน่าจะสรุปได้ว่า
นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ที่กระทำซึ่งเกิดจากการใช้ความรู้
ใช้ความคิดสร้างสรรค์
สิ่งใหม่ในที่นี้อาจจะอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการ ที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนา
องค์ประกอบของนวัตกรรม ประกอบด้วย
1.ความใหม่
ใหม่ในที่นี้คือ สิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน เคยทำมาแล้วในอดึตแต่นำมารื้อฟื้นใหม่
หรือเป็นสิ่งใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าที่มีอยู่เดิม
2.ใช้ความรู้หรือความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนา นวัตกรรมต้องเกิดจากการใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างและพัฒนา
ไม่ใช่เกิดจากการลอกเลียนแบบ หรือการทำซ้ำ
3.มีประโยชน์
สามารถนำไปพัฒนาหรือแก้ปัญหาในการดำเนินงานได้
ถ้าในทางธุรกิจต้องมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ สร้างมูลค่าเพิ่ม
4.นวัตกรรมมีโอกาสในการพัฒนาต่อได้
ที่มา:/www.gotoknow.org/posts/492060
นวัตกรรมการศึกษาปฐมวัย
นวัตกรรม
เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้
เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ โดยในอดีตใช้คำว่า
นวกรรม ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า “Innovation” หมายถึง สิ่งใหม่หรือการเปลี่ยนแปลง คำว่า นวัตกรรม
จึงมีนักการศึกษาบางกลุ่มใช้คำว่า นวกรรม ดังนั้น คำว่า นวกรรมและนวัตกรรมทั้งสองคำนี้จึงใช้ในความหมายเดียวกัน
คือ การกระทำใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษา
ดังนั้น นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย จึงหมายถึง การนำแนวคิดและวิธีการหรือการกระทำใหม่ ๆ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางการศึกษาปฐมวัยมาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ดังนั้น นวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย จึงหมายถึง การนำแนวคิดและวิธีการหรือการกระทำใหม่ ๆ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางการศึกษาปฐมวัยมาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการศึกษาปฐมวัยให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ที่มา seemalanonech.wordpress.com/2012/12/20/นวัตกรรมทางการศึกษาปฐม/
การประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง
การประเมินผลตามสภาพที่เป็นจริง
(Authentic Assessment)
หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก
และรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธีการที่ ผู้เรียนทำ
เพื่อเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจในการศึกษาถึงผลกระทบต่อผู้เรียนเหล่านั้น
การประเมินจากสภาพจริงจะไม่เน้นการประเมินเฉพาะทักษะพื้นฐาน
แต่จะเน้นการประเมินทักษะการคิดที่ซับซ้อนในการทำงานของนักเรียน
ความสามารถในการแก้ปัญหาและการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัติในสภาพจริงในการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
โดยที่ผู้เรียนจะเป็นผู้ค้นพบ ผลิตความรู้ และได้ฝึกปฏิบัติจริง
รวมทั้งเน้นพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
เพื่อสนองจุดประสงค์ของหลักสูตรและความต้องการของสังคม
การประเมินผลจากสภาพที่แท้จริงจะ
แตกต่างจากการประเมินผลการเรียนหรือการประเมินเพื่อรับรองผลงาน
เพราะเน้นการให้ความสำคัญกับพัฒนาการและความต้องการช่วยเหลือและการประสบความสำเร็จของผู้เรียนแต่ละคน
มากกว่าการประเมินผลการเรียนที่มุ่งการให้คะแนนผลผลิตและจัดลำดับที่
แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่ม เนื่องจากจะวัดผลโดยตรงในสภาพการแสดงออกจริงๆ
ในเนื้อหาวิชา ซึ่งการทดสอบด้วยข้อสอบจะวัดได้เฉพาะความรู้และทักษะบางส่วนและเป็นการวัดโดยอ้อมเท่านั้น
นอกจากนี้
การประเมินผลจากสภาพที่เป็นจริงจะมีความต่อเนื่องในการให้ข้อมูลในเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สอนเพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
กลุ่มและทีม
"กลุ่ม" (Group) คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
เมื่อใดที่มีการรวมตัวกัน กลุ่มย่อมเกิดขึ้นแล้ว
ส่วนใหญ่การรวมตัวกันเกิดจากความเหมือนกันในด้านต่างๆ เช่น ความสนใจ อุปนิสัย
หรือด้วยเหตุปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดการรวมตัวกัน
อาจมีเป้าหมายเฉพาะหรือไม่มีก็ได้
"ทีม"
(Team) คือ การรวมตัวตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผูกพันกัน มีจุดมุ่งหมาย
เป้าหมายเดียวกันและต้องเป็นเป้าหมายที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์
(ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ หากเป้าหมายนั้นไม่สร้างสรรค์ เช่น
การรวมตัวของคนกลุ่มหนึ่งเพื่อก่ออาชญากรรม เราไม่ถือว่าเป็นทีม แต่เป็นกลุ่มคน
นั่นเพราะแม้มีจุดมุ่งหมายและเป้าหมายเดียวกัน แต่เป็นเป้าหมายที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน
วุ่นวายแก่สังคมส่วน
ที่มา:
http://www.phanrakwork.com/content
ความหมายของภาษา
ภาษา เมื่อแปลตามรูปศัพท์หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร
เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด
ในพจนาณุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525
ให้ความหมายของคำว่าภาษาคือเสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด
ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน
ภาษาสามารถแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ วัจนภาษา และ อวัจนภาษา
1.
วัจนภาษา เป็นภาษาที่พูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำ
สร้างความเข้าใจกัน มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการพูด
นอกจากนั้นยังเป็นหนังสือที่ใช้แทนคำพูด คำที่ใช้เขียนจะเป็นคำที่เลือกสรรแล้ว
มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการเขียนและการพูดตามหลักภาษา
2.
อวัจนภาษา
เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจางคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสารเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ
ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำได้แก่ ท่าทางการแสดงออก
การใช้มือใช้แขนประกอบการพูดหรือสัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ
เช่น สัญญานไฟจราจร สัญญานธง เป็นต้น
ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก
เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว
ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ
และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย
เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม
ที่มา:
https://nungruatai11.wordpress.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น